

มันสำปะหลังเป็นพืชไร่เศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทย สามารถเติบโตได้ดีในดินดอนเกือบทุกประเภท เช่น ดินทรายจัด ดินร่วนปนทราย ยกเว้นในพื้นที่ที่มีดินเค็ม (ดินเกลือ) นอกจากนี้ยังมีความทนทานต่อสภาพแห้งแล้งได้ดี อย่างไรก็ตาม ดินที่ผ่านการเพาะปลูกต่อเนื่องมาเป็นเวลานานโดยไม่ได้รับการปรับปรุงหรือบำรุง อาจเสื่อมโทรมลง ส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของมันสำปะหลัง ปัญหาดังกล่าวมักเกิดจากการปลูกมันสำปะหลังติดต่อกันหลายปี โดยไม่มีการปรับปรุงดิน หรือมีการใช้ปุ๋ยเคมีสะสมในระยะเวลานาน
ดังนั้น หากเกษตรกรใช้ดินที่เคยเพาะปลูกมันสำปะหลังติดต่อกันมาหลายปี ควรมีการปรับปรุงบำรุงดินอย่างเหมาะสม เพื่อรักษาระดับผลผลิตในระยะยาว เช่น การใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักจากเปลือกมันสำปะหลังเก่าที่หาได้ในท้องถิ่น หรือปลูกพืชตระกูลถั่วเพื่อหมุนเวียนบำรุงดิน
ในกรณีที่เป็นพื้นที่หญ้าคา ควรกำจัดวัชพืชก่อนด้วยสารกำจัดวัชพืชประเภทไกลโฟเซตหรือใช้สารสตาร์เรนกับพืชเถา แล้วจึงทำการไถกลบวัชพืชครั้งแรกด้วยผาน 3 ลึกประมาณ 20–30 ซม. จากนั้นทิ้งดินไว้ประมาณ 20–30 วัน เพื่อให้วัชพืชย่อยสลายกลายเป็นปุ๋ยในดิน แล้วจึงไถพรวนซ้ำด้วยผาน 7 อีก 1–2 ครั้งตามความเหมาะสม และควรปลูกมันสำปะหลังทันทีในช่วงที่ดินยังมีความชื้น นอกจากนี้เกษตรกรควรเก็บตัวอย่างดินจากแปลงปลูกเพื่อส่งวิเคราะห์ค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) ของดิน โดยปัญหาที่พบบ่อยคือ ดินมีความเป็นกรดจัด โดยมีค่า pH อยู่ในช่วง 4.0–5.0 ซึ่งเป็นระดับที่ไม่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของมันสำปะหลัง เพื่อปรับค่า pH ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมระหว่าง 6.5–7.0 ซึ่งจะช่วยให้รากของมันสำปะหลังสามารถดูดซับธาตุอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควรใช้ปูนขาวชนิดน้ำในอัตรา 10 ลิตรต่อไร่ ฉีดพ่นลงดินเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว เมื่อดินมีสภาพที่เหมาะสม รากมันสำปะหลังจะเจริญเติบโตได้เร็ว ทำให้ต้นมันสามารถคลุมร่องได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งส่งผลให้ลดต้นทุนในการกำจัดวัชพืช ได้อย่างดีทั้งนี้ การลดต้นทุนจากการกำจัดวัชพืชถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเพิ่มผลผลิตต่อไร่และกำไรสุทธิของเกษตรกรในระยะยาวอย่างยั่งยืน
อ้างอิงข้อมูล
https://web.sut.ac.th/cassava/?name=14cas_plant&file=readknowledge&id=62